เท็ตสึยะ ยามางามิ (ญี่ปุ่น: 山上徹也; โรมาจิ: Tetsuya Yamagami) ชายวัย 41 ปีที่อาศัยอยู่ในเมืองนาระถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดนาระ ณ ที่เกิดเหตุ บนฐานของเหตุอันควรสงสัยว่าพยายามฆ่าผู้อื่น ทั้งนี้หลังมีการประกาศการเสียชีวิตของอาเบะ ข้อกล่าวหาถูกปรับเป็นการฆาตกรรม ยามางามิถูกจับกุมและนำตัวส่งสถานีตำรวจนาระนิชิ[77] ตามคำบอกเล่า เขาอยู่ในอาการสงบและไม่ได้มีท่าทีที่จะหลบหนี[78][79][80] ยามางามิไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน[81] จวบจนถึงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อยามางามิที่กำลังถูกควบคุมตัวที่สำนักงานอัยการระหว่างการสอบสวน[75]

ชีวิตส่วนตัว

เท็ตสึยะ ยามางามิ เกิดในจังหวัดมิเอะ[82] ยามางามิเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและเปิดกิจการการก่อสร้าง[83] ตามคำบอกเล่า เขาเป็นคนเงียบและเก็บตัวในโรงเรียนมัธยมปลาย[84][85][86] เขาเขียนในหนังสือรุ่นว่าเขา "คิดไม่ออกเลย" ว่าเขาอยากทำอะไรในอนาคต[87][88] แม้ว่ายามางามิจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง เขาไม่สามารถศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้เนื่องจากปัญหาทางการเงินของครอบครัวเขา ขณะที่ยามางามิยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นตาของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ทำให้แม่ของเขาต้องเข้าดูแลกิจการก่อสร้าง[89]

ยามางามิเข้าร่วมกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น (JMSDF) ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2545 เขาถูกส่งให้ไปประจำที่ฐานทัพเรือคูเระและได้รับการมอบหมายตำแหน่งในเรือพิฆาตชื่อ เจเอส มัตสึยูกิ[90][87][91] ยามางามิถูกปลดจากตำแหน่งในกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ด้วยตำแหน่งทหารพลาธิการ[90] พร้อมกับยศจ่าเอก[84]

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ยามางามิเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมรถยกในจังหวัดเกียวโตให้แก่บริษัทผู้ผลิตที่ดำเนินกิจการในภูมิภาคคันไซ[92] ตามคำบอกเล่าของผู้คนที่นั่น เขาเป็นคนเงียบครึม และกล่าวว่ายามางามิออกจากงานในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 หลังเขาอ้างว่าเขา "รู้สึกไม่ค่อยดี"[93][87][94] ยามางามิเป็นผู้ว่างงานในเวลาที่เขาถูกจับกุม[93][83]

เหตุจูงใจ

ยามางามิบอกตำรวจสืบสวนว่าแรงจูงใจของเขาเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องทางการเมือง[95][96][97][98] หลังจากเข้าร่วมโบสถ์แห่งความสามัคคีในช่วง พ.ศ. 2534 ถึง 2541[lower-alpha 4][99] แม่ของเขาได้มอบเงินราว 100 ล้านเยน, แปลงที่ดินซึ่งตกทอดมาจากพ่อของเธอ และบ้านที่เธออยู่ร่วมกับลูกสามคน ภายหลังแม่ของยามางามิได้รับการประกาศให้ล้มละลายใน พ.ศ. 2545[100]

ยามางามิกล่าวอ้างว่าเขาเคยพยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมใน พ.ศ. 2548 ด้วยความหวังที่จะมอบสิทธิประโยชน์ของประกันชีวิตให้แก่พี่น้องของเขา[99] พี่ชายคนโตของยามางามิที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งอย่างยาวนานไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เขาเสียชีวิตจากอัตวินิบาตกรรมใน พ.ศ. 2558[101] อ้างถึงลุงของเขา เหตุการณ์ดังกล่างส่งผลให้ยามางามิซึมเศร้า[99][102]

ยามางามิต่อว่าโบสถ์ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินของครอบครัวเขาและเก็บความคับข้องใจที่มีต่อโบสถ์[103][104] หลังเขาค้นคว้าความสัมพันธ์ระหว่างโบสถ์และอาเบะช่วงหลายเดือนก่อนการโจมตี เขาเชื่อว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เผยแพร่อิทธิพลของโบสถ์ในประเทศญี่ปุ่น[105]

ในวันที่ 11 กรกฎาคม ความเกี่ยวข้องของแม่ของยามางามิกับโบสถ์แห่งความสามัคคีได้รับการยืนยันโดย โทโมฮิโระ ทานากะ ประธานโบสถ์สาขาโตเกียวภายในงานแถลงข่าว[106][107] ทานากะกล่าวว่าแม่ของยามางามิเข้าร่วมโบสถ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2541 หยุดเข้าร่วมในช่วง พ.ศ. 2552 และกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับโบสถ์ใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. 2562 หรือ พ.ศ. 2563[108] เขาปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนทรัพย์สินที่บริจาคโดยแม่ของยามางามิตั้งแต่การเข้าร่วมของเธอใน พ.ศ. 2541 โดยอ้างว่าขาดบันทึกการบริจาคของเธอ[106][109] ทานากะยังไม่ได้กล่าวแสดงความสำคัญถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างองค์กรและอาเบะตามที่ถูกกล่าวหา โดยกล่าวว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นสมาชิกจดทะเบียนหรือที่ปรึกษาของโบสถ์ หากแต่กล่าวสุนทรพจน์แก่ "องค์กรที่เป็นมิตร" ของพวกเขา ซึ่งก็คือโบสถ์แห่งความสามัคคีเพียงเท่านั้น[110][111][112]

ในวันที่ 14 กรกฎาคม โบสถ์ได้เผยแพร่แถลงการณ์อ้างว่าก่อนการลอบสังหาร พวกเขาได้ตกลงร่วมกันว่าจะคืนเงินจำนวน 50 ล้านเยนที่ได้รับบริจาคโดยแม่ของยามางามิในช่วง พ.ศ. 2547 ถึง พ.ศ. 2558 และไม่มีบันทึกการบริจาคครั้งใหม่เพิ่มเติมโดยเธอหลังจากการคืนเงิน[113]